เจ้าหน้าที่ตำรวจฟัน สองข้อหาหนัก เด็ก ม.3 แทงเพื่อน ก่อนเตรียมส่งศาลเยาวชนต่อไป ด้านผู้ได้รับบาดเจ็บอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว จากกรณีที่นักเรียนชั้น ม.3 จ.สงขลา ก่อเหตุใช้มีดแทงเพื่อนร่วมชั้นจนได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่ทั้งคู่ มีเรื่องกันมาตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. หลังจากที่เกิดการเขม่นหน้าหลังเข้าแถวเคารพธงชาติ ซึ่งแม้ว่าทั้งสองคนจะเคลียร์กันแล้วก็ตาม แต่ในวันถัดมา ผู้ก่อเหตุก็ได้ใช้มีดแทงผู้ได้รับบาดเจ็บ
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดเผยว่า ได้แจ้งผู้ต้องหา 2 ข้อหา
คือ 1.พยายามฆ่า และ 2.พกพาอาวุธมีด ก่อนจะควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งศาลเยาวชนจังหวัดสงขลา ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ส่วนอาการล่าสุดของนักเรียนที่ถูกแทงบาดเจ็บ ปอดทะลุ มีรูใกล้กับขั้วหัวใจ และเส้นเลือดใหญ่ที่ข้อมือขวาขาดเสียเลือดมาก ซึ่งได้รับการรักษาและออกจากห้องผ่าตัด โดยอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังอยู่ในห้องไอซียู แพทย์ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดและยังใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่
กลายเป็นเหตุสุดวุ่นหลัง หนุ่มคลั่งขโมยแท็กซี่ พร้อมทำร้ายร่างกายเด็กรับรถ ก่อนโดดน้ำหนี ขณะที่ชาวเน็ตตามหาเด็กรับรถที่เกาะรถตามหนุ่มคลั่ง จากกรณีที่ชายไม่ทราบชื่อในช่วงอายุราวๆ 25-40 ปี ได้เกิดอาการคลุ้มคลั่งและก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เด็กรับรถร้านอาหารบุหลันดั้นเมฆ บนถนนพระราม 3 ปากซอย 60 และชิงรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ข้างทาง เนื่องจากคนขับแวะปัสสาวะและติดเครื่องเอาไว้ ก่อนจะขับไปจอดกลางสะพานพระราม 3 ขอให้เจ้าหน้าที่ซื้อน้ำโค้กให้ดื่ม และก่อเหตุกระโดดจากสะพานลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทราบชื่อ หนุ่มคลั่งขโมยแท็กซี่ หรือก็คือ นายปาน อายุ 39 ปี เบื้องต้น เจ้าตัวไม่ได้มีอาการบาดเจ็บใดๆ แต่ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง พูดจาไม่ได้ศัพท์ จึงอายัดตัวไว้ที่ รพ. ตำรวจ เพื่อรอดำเนินการแจ้งข้อหา ตามความผิดหลายกระทง
จากการสอบสวน น.ส.สุพรรษา พงษ์สม อายุ 41 ปี เจ้าของร้านบุหลันดั้นเมฆ ทำให้ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเด็กรับรถร้านตนชื่อ นายนพดล หรือ วิว อายุ 30 ปี กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ลานจอดรถ จู่ๆ นายปาน ผู้ก่อเหตุ ซึ่งทราบว่าก่อนหน้านั้นนั่งดื่มเบียร์ อยู่ที่ร้านลาบไม่ไกลกัน ได้เดินถือขวดเบียร์โซซัดโซเซ พยายามจะเข้ามาในร้านอาหารของตน
ทางนายนพดล เห็นถ้าไม่ดี จึงเข้าไปขัดขวางไม่อนุญาตให้เดินเข้าไปภายในร้าน แต่นายปานกลับใช้ขวดเบียร์ที่ถือมาด้วย ฟาดใส่หัวนายนพดลจนศีรษะแตก จากนั้นนายปานก็วิ่งออกจากร้านไปชิงทรัพย์รถแท็กซี่ที่จอดอยู่ข้างถนน ทางนายนพดลก็วิ่งตามไปเกาะที่บริเวณท้ายรถ กระทั่งระหว่างทางรถแท็กซี่ได้เฉี่ยวชน ทำให้นายนพดลตกจากรถ
ทั้งนี้ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้โพสต์คลิปตามหาเด็กรับรถ หรือ วิว เนื่องจากยังไม่เจอตัวหลังตกจากรถแท็กซี่ และหวั่นว่าจะตกสะพานแล้วไม่มีใครเห็น โดยระบุว่า “คนที่โดดเกาะรถมา คือ “วิว” ลูกน้อง ญ นะคะ และตอนนี้ยังไม่เจอตัวน้องค่ะ ข่าวที่ออกไปว่า กู้ภัยช่วยเหลือแล้ว พี่ก้านกับกานต์ตามแทบจะทุกรพ.ที่ข่าวออกไป แต่ไม่มีเคสวิวเลยค่ะ เรายังไม่เลิกตามหา และขอให้น้องปลอดภัยค่ะ”
ก.อ. มีมติให้ ‘เนตร นาคสุข’ ออกจากราชการ ปมไม่สั่งฟ้อง ‘บอส อยู่วิทยา’
ประธานคณะกรรมการอัยการ มีมติให้ เนตร นาคสุข ออกจากราชการ จากกรณีที่ไม่สั่งฟ้อง บอส อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง นาย พชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ. ) ได้ทำหน้าที่เป็นประธาน การประชุม ก.อ. เพื่อร่วมลงมติ ผลสอบคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นาย เนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด ที่ไม่ฟ้อง บอส อยู่วิทยา หรือ บอส กระทิงแดง ทายาทกระทิงแดง ผู้ต้องหาคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อเสียชีวิต
โดยในวันนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม 14 คน ลา 1 คน ซึ่งมี ก.อ.ที่เคยถูกตั้งเป็นกรรมการสอบสวนวินัย นายเนตรจำนวน 6 คนที่ประชุมจึงให้งดออกเสียงโดยกรรมการที่มีสิทธิลงมติจึงเหลือ 8 คน ซึ่งกรรมการทั้ง8 มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่า นายเนตรขาดความระมัดระวังละเอียดรอบคอบในการรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่สำคัญในคดีและ ไม่ให้ความสำคัญกับสำนวนทุกประเภท
ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญา ของพนักงานอัยการ -(อันเป็นระเบียบที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา) เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง อันเป็นการกระทำความผิดฐานไม่ปฏิบัติ หน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ ไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการ ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2553 และความผิดฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวัง
เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ และฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ตาม แห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 เป็นความผิด วินัยไม่ร้ายแรง ส่วนความผิดฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการกระทำครั้งเดียวผิดวินัย หลายฐาน จึงเห็นควรลงโทษในสถานความผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่มีโทษหนักกว่า แต่ทางสอบสวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานบ่งชี้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทุจริตต่อหน้าที่ราชการ
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป